วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

WE LOVE CAR ll

ใส่ใจรถวันละนิด เครื่องฟิต สตาร์ทติดง่าย !!

การดูแลรักษารถประจำวัน 

สำหรับผู้ใช้รถทุกท่าน การดูแลรักษาเครื่องยนต์ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการยืดอายุการใช้งานรถของคุณ ปรกติเราต้องตรวจตราดูแลรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ อาจจะสัปดาห์ละครั้งสำหรับการดูแลอย่างละเอียด แต่ถ้าเป็นไปได้ถ้าเราหมั่นดูแลรถของเราทุกวันก็จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ในปัจจุบันถึงแม้จะมีศูนย์ให้บริการดูแลรักษารถตามสถานที่ต่างๆ ตรวจเช็คระยะตลอดทุกๆ 10,000 กิโลเมตร แต่คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่ารถของคุณนั้นจะไม่เกิดปัญหาระหว่างทาง ทางที่ดีที่สุดคือความไม่ประมาท ควรจะหมั่นตรวจสอบอยู่เป็นระยะๆ เมื่อเกิดปัญหาจะได้ไม่บานปลายจนต้องเสียเงินไปอีกหลายพันจนถึงเป็นหมื่นๆบาท การดูแลรักษารถยนต์นั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ยุ่งยากและเสียเวลามากเลย เรามีข้อควรปฏิบัติอย่างง่ายสำหรับการดูแลรักษารถยนต์ประจำวันของคุณมานำเสนอกัน 

ประการที่1 
ที่จะต้องตรวจก็คือ ลมยาง ตรวจง่ายๆ ด้วยสายตาว่ามันแฟบอ่อนหรือเปล่า ดูทุกเส้นนะครับ เพระถ้าลมยางของแต่ละล้อไม่เท่ากันจะมีผลต่อการทรงตัวของรถ ทำให้เบรกปัด, วิ่งส่าย, รถแถไปด้านหนึ่ง เป็นที่มาของการเกิดอุบัติเหตุด้วย อาจจะทำให้อายุของยางสั้นลง จึงต้องควักกระเป๋าก่อนถึงเวลาอันควรด้วยนะ เพราะฉะนั้น ถ้าพบว่าแรงดันลมไม่เท่ากันต้องตรวจเติมให้เรียบร้อย 

ประการที่2 
ที่ต้องตรวจนั้นคือ ตรวจดูรอยหยดรั่วของน้ำและน้ำมันต่างๆใต้ท้องรถ ซึ่งก้มดูด้วยสายตาทำได้ง่ายๆครับ ถ้าพบว่ารั่วที่ล้อและเป็นน้ำมันเบรก จะต้องงดใช้งาน รีบปรึกษาช่าง และเมื่อตรวจพบว่าน้ำระบายความร้อนรั่วหยดให้หาที่มาของการรั่ว ถ้าเป็นข้อต่อก็ไขควงกวดอัดให้แน่น และถ้าพบรอยรั่วของน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์หรือน้ำมันเฟืองท้ายก็อย่างนิ่งนอนใจ เมื่อมีเวลาจะต้องนำไปปรึกษาช่างเพื่อทำให้รอยรั่วนั้นๆหมดไป ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยต่อกลไกดังกล่าวของรถยนต์นะจ๊า 

**คราวนี้มาดูห้องเครื่องกันบ้างคือเครื่องยนต์และอุปกรณ์ในห้องเครื่องยนต์ **

ประการที่3 
คือการดูแลน้ำระบายความร้อน วิธีดูก็ไม่ได้ยุ่งยากเลยนะ เพียงตรวจโดยการเปิดฝาหม้อน้ำออก ถ้าพบว่าน้ำพร่องน้อยลงไปก็ใช้น้ำสะอาดเติมลงไปให้เต็ม สำหรับรถบางคันนะครับ ลองสังเกตุดูว่าถ้ามีขวดพลาสติกที่เก็บน้ำอยู่และมีท่อเล็กๆต่อไปถึงหม้อน้ำ ก็ไม่ต้องเปิดฝาหม้อน้ำนะครับ ให้ดูระดับน้ำที่ขวดเก็บน้ำสำรองแทน ถ้าน้ำยังอยู่ในระดับที่กำหนดก็ไม่ต้องเติม แต่ถ้าต่ำก็ให้เปิดฝาขวดเก็บน้ำสำรอง แล้วเติมน้ำสะอาดให้เต็มนะครับ เรื่องดูแลน้ำระบายความร้อนอย่าละเลย เพราะจะทำให้เครื่องยนต์ของท่านเสื่อมสภาพเร็วได้ 

ประการที่4 
ดูแลตรวจเติมระดับน้ำมันเครื่อง เพราะถ้าน้ำมันเครื่องพร่องหรือแห้งจะทำให้เกิดการสึกหรอภายในเครื่องยนต์ วิธีตรวจระดับน้ำมันเครื่องก็ไม่ยุ่งยากอะไรเลย เพียงแต่ดึงเหล็กวัดออกมาเช็ดทำความสะอาดแล้วใส่กดลงไปยังตำแหน่งของมันให้สุดจากนั้น ดึงออกมาตรงๆในแนวดิ่ง ระดับน้ำมันจะสักเกตได้จากรอยคราบน้ำมันที่เกาะอยู่ปลายเหล็กวัด น้ำมันจะต้องอยู่ระหว่างกลางขีดที่มีอักษร L (Low) และ F (Full) ถ้าต่ำจาก L ก็ให้เติมให้อยู่ในระดับเท่าเดิม และไม่ควรเติมจนเกินอักษร F เพราะจะทำให้ควันขาวจากน้ำมันเครื่องเข้ามาห้องเผาไหม้ และซคลเพลาข้อเหวี่ยงรั่วนะครับ ซึ่งก็ไม่เป็นผลดีต่อเครื่องยนต์เลย 

ประการที่5 
การตรวจเติมน้ำมันเบรกในกระบอกเก็บน้ำมันเบรกที่แม่ปั้มเบรก ถ้ามีระดับสูงก้ไม่ต้องเติมนะครับแต่พ้าพร่องต่ำกว่าขีดที่กำหนดให้เติมจนได้ระดับที่ถูกต้อง การเติมน้ำมันเบรกมีข้อควรระวังก็คือ อย่าให้น้ำมันเบรกหกราดโดนสีรถจำทำให้สีเสียหาย และถ้าหก ห้ามเช็ดนะครับ ให้ใช้น้ำราดให้เจือจาง เพราะจะทำให้สีเสียหายเป็นแผลทางยาวไปตลอดแนวที่เช็ด สำหรับน้ำมันเบรกนั้น ถ้าพร่องมากๆทุกวัน จะต้องรีบนำรถไปปรึกษาช่าง "เพราะเบรกคือชีวิต" มีชีวิตของใครบ้างหรือครับ ก็ชีวิตของท่าน และผู้ที่โดยสารมากับท่านรวมถึงผู้ร่วมใช้รถใช้ถนนกับท่านด้วย 

ประการสุดท้าย 
การบำรุงรักษาประจำวัน คือกระบอกคลัตช์น้ำมันจะต้องมีการตรวจเติมน้ำมันให้อยู่ในระดับที่ถูกต้อง กระบอกดังกล่าวอยู่ข้างๆกระบอกน้ำมันเบรกและน้ำมันที่เติมก็คือน้ำมันเบรกนั่นแหละ อย่าละเลยนะ เพราะถ้าน้ำมันหมดจะเข้าเกียร์ไม่ได้ นั่นคือรถวิ่งไม่ได้นั่นเอง 

**เพียงท่านเสียสละเวลาเพียง 15 นาทีต่อวัน หมั่นดูแลรักษาสภาพเพียงเท่านี้ รถของท่านก็จะอยู่ไปกับเราได้อีกนาน** 

WE LOVE CAR

วิธีการดูแลรักษารถ

ยิ่งอ้วนยิ่งเปลือง 
รถไม่ใช่โกดังเก็บของ อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ควรเก็บไว้กับรถ เพราะน้ำหนักบรรทุกที่เพิ่มขึ้น เพียง 10 กิโลกรัม จะทำให้เปลือง ค่าน้ำมันมากขึ้นกว่า 60 บาท ต่อเดือน 



เร็วคุณภาพ 
เร็วอย่างมีคุณภาพ คือ ความเร็ว 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพราะประหยัดน้ำมันได้มากที่สุด หากขับรถทางไกล แล้วชอบซิ่งด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ลองเปลี่ยนมาขับนิ่ม ๆ ที่ 90 ดู นอกจากจะช่วยให้ไม่ต้องเสี่ยงกับการถูกปรับแล้วยังช่วยประหยัด ได้ตั้ง 125 บาท ต่อเดือน 


ติดเครื่อง เปลืองแน่ 
หากชอบเปิดแอร์ นอนเล่น หรือชอบติดเครื่องตอนจอดคอย เพียงครั้งละ 10 นาที เดือนละ 10 ครั้ง นอกจากจะเปลือกน้ำมัน 45 บาท ต่อเดือนแล้ว น้ำมันที่เผาไหม้ไม่หมด ซึ่งอาจหลงเหลืออยู่ใน กระบอกสูบจะเป็นตัวการทำให้เครื่องยนต์สึกหรออีกด้วย 

ออกเร่ง เบรกดัง พังเร็ว 
การออกรถกระโชกกระชาก เลี้ยวอย่างเร็ว เบรกอย่างแรง เป็นฉนวนของอุบัติเหตุได้ง่าย และเป็นวิธีทำลายรถ อย่างได้ผลชะงัด เพราะทั้งเครื่องยนต์ เครื่องส่งกำลัง ผ้าเบรก และยางรถ จะชำรุดสึกหรอได้เร็วขึ้นทันตาเห็นเลย นอกจากนี้หากติดนิสัยชอบเร่งเครื่องแรง ๆ ตอนออกรถสักวันละ 10 ครั้ง จะเสียน้ำมันเปล่า ๆ เดือนละ 60 บาทอีก ด้วย 

ปิด แอร์ บ้างนะ 
รถที่ใช้ แอร์ จะสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างน้อยก็ร้อยละ 10 ขึ้นไป ถ้าเลือกเปิดได้ เฉพาะเวลาที่จำเป็น เช่น เช้า ๆ เปิดกระจกรับอากาศยามเช้าก็ไม่เลว ลดการใช้แอร์ลงแค่ 10% ของการใช้แอร์ตามปกติ ก็ประหยัดเงินได้อีก 40 บาท ต่อเดือนสบาย ๆ 

สูง-สูง ต่ำ-ต่ำ 
การใช้เกียร์ควรสัมพันธ์กับความเร็วรอบของเครื่องยนต์ (ก็เขาสร้างของเขามาอย่างนั้น) ความเร็วสูงยังฝืนลากเกยร์ต่ำ (เกียร์ 1,2) ความเร็วยังต่ำรีบไปใช้เกียร์สูง (เกียร์ 3,4,5) กำลังเครื่องก็ตก เครื่องก็รีบพังก่อนเวลาอันควร และจะสิ้นเปลือง กว่าปกติอีก 85 บาทต่อเดือน 

รักคลัตซ์อย่าเลี้ยงคลัตซ์ 
อย่าแช่คลัตซ์โดยไม่จำเป็น สิ้นเปลืองคลัตซ์ และน้ำมันเชื้อเพลิง ใช้เบรก หรือเบรกมือช่วยแทนดีกว่า เวลาหยุดควรเหยียบคลัต์ การเร่งเครื่องแรง ขณะออกรถโดยยังไม่ปล่อยคลัตซ์ไม่สุด หรือเข้าเกียร์แล้วยังวางเท้าบนแป้นเหยียบคลัตซ์ก็เป็นการ หาเรื่องอุปกรณ์ในระบบคลัตซ์สึกหรอ และเปลืองน้ำมันเปล่า ด้วย 

ไม่ติด ไม่คอย เข้าซอยลัด 
วางแผนในการขับรถล่วงหน้า เลือกเส้นทางลัดเพื่อประหยัดเวลา และอารมณ์ที่เสียเปล่า จากรถติด หรือหลงทาง ท่านอาจจะประหยัด ได้มากกว่าเดือนละ 420 บาท 

ไม่ “ เบิ้ล “ เอาเท่าไร 
ถ้าไม่อยากให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็ว ก็อย่าเร่งเครื่อง หรือ “ เบิ้ล” น้ำมันโดยไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็น ขณะจอดอยู่เฉย ๆ เปลี่ยนเกียร์ หรือก่อนดับเครื่องยนต์ จะช่วยให้ไม่สิ้นเปลืองน้ำมันอย่างสูญเปล่าอีก 20 บาท ต่อเดือน 

มองล่วงหน้า รักษาเบรก 
เตรียมตัวล่วงหน้าเมื่อจะถึงสี่แยก สัญญาณไฟ หรือป้ายสัญญาณ ช่วยให้ไม่ต้องเบรกอย่างพร่ำเพรื่อ และรุนแรง หรือเสี่ยงการเปลี่ยนช่องทางวิ่งบ่อย ๆ ซึ่งอาจทำใต้องเร่งเครื่องอย่างเร็ว และหยุดอย่างกระทันหัน จะเป็นการประหยัดน้ำมัน และรักษาผ้าเบรก จานเบรกไว้ใช้กันตอปาน ๆ 

ยางอ่อน 
การสูบลมยางให้เหมาะสมนอกจากจะประหยัด น้ำมันแล้ว ยังทำให้อายุยางยืนยาวขึ้นด้วย ลมยางที่อ่อนไปเพียง 4 ปอนด์ ต่อตารางนิ้ว ในช่วง 10 วัน ที่ละเลยจะทำให้เปลืองน้ำมัน เพิ่มขึ้นถึง 125 บาท 

คาร์บูเรเตอร์สกปรก 
ไม่มีใครชอบความสกปรก แม้แต่รถ หากใช้รถโดยที่คาร์บูเรเตอร์สกปรกเพียง 10 วัน จะเสียเงินค่าน้ำมันส่วนเกินอีก 210 บาท ไปฟรี ๆ 

หัวเทียนบอด 
หากหัวเทียนบอด หรือเสื่อมคุณภาพ รถยนต์จะวิ่งได้ระยะทางน้อยลง 0.85 กิโลเมตรต่อน้ำมัน 1 ลิตร ใน 10 วัน คิดเป็นน้ำมันสูญเสียประมาณ 125 บาท 

ไส้กรองอากาศอุดตัน 
ดูแลความสะอาดไส้กรองอากาศบ่อย ๆ และหากมีสิ่งอุดตันมาก ก็สมควรเปลี่ยนใหม่ ได้แล้วอย่าเหนียว ทั้งนี้เพราะไส้กรองอากาศ ที่อุดตันใน 1 เดือน จะทำให้รถสิ้นเปลือง น้ำมันประมาณ 210 บาท 

เบรกเสื่อม 
ระบบเบรกก็ควรได้รับการตรวจสอบดูแลด้วยเหมือนกัน หากผ้าเบรกเสียดสีจานล้ออยู่เสมอ ( เบรกติด หรือเบรกตาย หรือตั้งระยะไม่ถูกต้อง) จะเป็นผลให้ต้องใช้เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น ประมาณ 85 บาท ต่อเดือน 

น้ำมันเครื่องหมดอายุ 
น้ำมันเครื่อง เป็นเรื่องสำคัญของการบำรุงรักษารถ ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง และไส้กรอง น้ำมันเครื่องตามกำหนด เลือกใช้น้ำมันเครื่องเกรดให้ถูกต้องกับสภาพเครื่องยนต์ จะลดแรงเสียดทานภายในเครื่องยนต์ให้ดีขึ้น ทำให้สามารถประหยัดเชื้อเพลิงได้มากขึ้นด้วย 

แก็สโซฮอล์ 95 
“ แก็สโซฮอล์ พลังงานแอการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน” พึ่งพาตัวเองทางเศรษฐกิจ : สร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลผลิตทางการเกษตร ทดแทนการนำเข้าสาร MTBE ลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศ และช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น พึ่งพาตนเองด้านพลังงาน: เป็นพลังงานทดแทนบางส่วน จากเดิมที่ต้องสูญเสียเงินตราต่างประเทศเพื่อนำเข้าน้ำมัน เชื้อเพลิงทั้งหมด พึ่งพาตนเองทางสุขภาพและสิ่งแวดล้อม : ลดการเกิด มลภาวะจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะช่วยให้คนไทย เผชิญกับมลภาวะน้อยลง มีสภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิตดีขึ้น 

TOYOTA SUPRA

TOYOTA SUPRA


Toyota Supra รหัส Model JZA-80 นั้นมีสายการผลิตยาวนานนับ 10 ปี แม้จะออกมานานแล้วแต่ก็ยังเป็นรถยอดนิยม ทั้งใน ญี่ปุ่น รวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน เหตุผลที่เป็นที่นิยมนั้นก็เพราะว่า รูปทรงที่ดูเป็น sport เครื่องยนต์รหัส 2JZ ที่ทำให้แรงก็ง่าย อะไหล่ก็เยอะ แถมทนทายาท ยิ่งส่งให้ Supra ยังเป็นที่นิยมอยู่ตลอด

ในความเป็นจริงแล้ว Toyota Supra นั้นมีหลาย spec ครับ คือ ถ้าเป็นตัวรหัส S-ZR จะเป็นเครื่องยนต์แบบ 2JZ-GE ไม่มี turbo ส่วนตัวที่เป็นรหัส RZ นั้นจะเป็นเครื่อง 2JZ-GTE twin turbo โดย turbo เป็นแบบ sequential คือทำงานทีละลูก โดยลูกแรกทำงานที่รอบเครื่องต่ำ ส่วนลูกที่สองจะมาตอนรอบเครื่องสูงขึ้น นอกจากนี้ Supra ยังมีแบบเปิดหลังคา หรือที่เรียกว่า Targa ให้เลือกอีกด้วย ซึ่งในตัวนี้จะมีแต่เครื่อง ไม่มี turbo ส่วนที่เห็นในบ้านเราแล้วเป็นแบบ มี turbo นั้น ท่านเจ้าของจะไปเปลี่ยนเครื่องมาเองนะ 

ยังครับความซับซ้อนของสายพันธุ์ Supra ยังไม่หมด เพราะ Supra ที่ขายในแต่ละประเทศจะมี Spec ที่แตกต่างกัน โดย ถ้าเป็นตัว spec UK หรือที่ขายในอังกฤษ นั้นสิ่งที่สามารถเห็นได้ชัดภายนอกก็คือ จะมีที่ฉีดน้ำล้างไฟหน้าที่มีลักษณะเหมือนเขาอยู่ตรงกันชนหน้า, scoop ดักลมบนฝากระโปรง, ไฟหน้าที่โคมเป็นแก้วและมีพื้นเป็นสีขาว ส่วนทางด้านหลังนั้นตำแหน่งการจัดวางไฟก็จะแตกต่างกับตัว Japan spec ตรงที่ตัว UK ไฟถอยจะอยู่ตรงกลาง หรือถ้าจะดูง่ายๆก็คือไฟเบรกจะไม่อยู่ติดกันนั้นเองครับ เพราะมีไฟถอยมาขั้นกลาง
ส่วนเครื่องยนต์ก็มีความแตกต่างกันคือตัวนี้จะเป็น 320 แรงม้า และใช้ Air FlowMeter เป็นตัววัด
ซึ่งก็มีข้อเสียตรงที่เมื่อจะปรับ boost ขึ้นไปมากๆแล้ว Air Flow จะไม่สามารถอ่านค่าได้นั้นเองครับ

มาทางด้านตัว Japan spec กันบ้าง โดยภายนอกสิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ไม่มีที่ฉีดน้ำล้างโคมไฟหน้า ไม่มี scoop ดักลมบนฝากระโปรง ส่วนไฟหน้านั้นในปีแรกๆจะเป็นแบบ พื้นขาวเหมือนตัว UK spec แต่ในปีหลังจะเป็นแบบ โคมดำและมีกรอบไฟเป็นพลาสติก ส่วนทางด้านไฟท้ายนั้นนั้นตัว Japan spec ตำแหน่งของไฟเบรกจะอยู่ติดกันตรงกลาง ส่วยไฟถอยนั้นจะอยู่ด้านในสุดครับ

ทางด้านเครื่องยนต์นั้น Japan spec จะมีแค่ 280 แรงม้าตามที่กฎหมายญี่ปุ่นกำหนด และใช้ Map Sensor ในการอ่านค่า ซึ่งข้อดีก็คือมันสามารถอ่านค่าได้ละเอียดและแม่นยำกว่า ที่ใช้ Air Flow นั้นเองครับ
ส่วนระบบเบรกยังคงใช้ของเดิมอยู่ เพราะยังไม่ได้ modify เพิ่มเติมอะไรมาก เพียงแค่เปลี่ยนผ้าเบรกไปใช้ของ Endless รุ่น CCM ทั้งสี่ล้อก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าจะ modify นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
Supra ยังคงเป็นรถที่เป็นที่ต้องการของวัยรุ่นที่ชอบความเร็ว  แม้ว่าจะออกมานานกว่า 10 ปีแล้วก็ตาม ดูจากราคามือสองที่มีแต่ขึ้นเอาขึ้นเอา โดยราคามีตั้งแต่ ล้านปลายๆ จนถึง 2 ล้านกว่าๆ เหตุผลที่เป็นที่นิยมก็คือ รูปทรงที่ดู Sport เครื่องยนต์ที่แรงและอึด ขับไปไหนก็เท่ห์

HONDA CIVIC

HONDA CIVIC


ฮอนด้า ซีวิค รถยนต์ที่ผลิตและพัฒนาโดยบริษัทฮอนด้า ซีวิคเริ่มต้นในประเทศญี่ปุ่นเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2516 เป็นรถสองประตูขนาดเล็ก โดยมีความจุเครื่องยนต์ 1169 ซีซี และ 1238 ซีซี โดยในปัจจุบันมีการปรับปรุงให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งเครื่องยนต์และความกว้างในห้องผู้โดยสาร (ซีวิครุ่นปัจจุบันที่มีขายในเมืองไทยเป็นเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร และ 2.0 ลิตร) นอกจากนี้ซีวิคได้ถูกจัดเป็นรถคุณภาพค่อนข้างดีเนื่องจาก ลักษณะรูปร่างภายนอก และ ความเชื่อถือได้ของระบบเครื่องยนต์และช่วงล่างพอสมควร

TOYOTA VIOS

TOYOTA VIOS


2012 Toyota Vios ใหม่ที่เป็นรถซีดานขนาดกะทัดรัด มาพร้อมเครื่องยนต์ 2 ขนาดคือ เครื่องยนต์ 1.4 ลิตร และเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ที่ถึงจะเล็ก แต่ก็อัดแน่นไปด้วยคุณภาพเต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะเป็นระบบรักษาความปลอดภัย ระบบเบรกอัจฉริยะ ระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับท่านั่งที่ไม่ปกติ และระบบช่วยเบรกเพื่อป้องกันการไหลลื่นของรถ นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายอยู่อย่างครบครันและทันสมัย
ก็เปรียบเสมือนยาริสแต่อยู่ในรูปแบบของรถซีดาน ขนาดเล็ก คล่องแคล่ว ว่องไว เหมาะสำหรับการจราจรที่คับคั่งอย่างบ้านเราครับ ถึงเห็นว่าเล็กแบบนี้แต่ก็มีดีเยอะมากนะครับ ยิ่งในเรื่องของการประหยัดน้ำมันแล้ว วีออสใหม่นี้ถือเป็นเจ้าแห่งรถประหยัดน้ำมันเลยก็ว่าได้

Honda Jazz

 Honda Jazz



ฮอนด้า แจ๊ซ (อังกฤษHonda Jazz) เป็นรถยนต์นั่งแบบแฮทช์แบ็ก 5 ประตู ผลิตโดยฮอนด้า เริ่มแนะนำครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2001 ในประเทศญี่ปุ่น ประเทศจีน และประเทศในแถบทวีปอเมริกาเหนือและใต้ จะเรียกว่า ฮอนด้า ฟิต (Honda Fit) ส่วนคำว่า ฮอนด้า แจ๊ซ จะใช้ใน ยุโรป บางประเทศในเอเชีย ออสเตรเลีย โอเชียเนีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา
นับถึงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2007 ฮอนด้าแจ๊ซ มียอดขายครบ 2 ล้านคัน ในระยะเวลา 6 ปี
ฮอนด้า แจ๊ซ ได้ถูกพัฒนาให้มีรูปทรงคล้ายมินิแวนย่อส่วน บนพื้นฐานโครงสร้างใหม่ GLOBAL SMALL PLATFORM ของฮอนด้า ซึ่งพัฒนาการของรถฮอนด้า แจ๊ซ ปัจจุบันแบ่งเป็น 2 โฉม ได้แก่

Generation ที่ 1 (ค.ศ. 2001-2008)

โฉมนี้ เป็นโฉมแรกของฮอนด้า แจ๊ซ ซึ่งปัจจุบันนี้ได้เพิ่งหยุดผลิตไปเมื่อไม่นานนี้
จัดเป็นรถขนาดเล็กมาก (Subcompact Car , Supermini)
เครื่องยนต์ที่มีขายในประเทศไทย มี 2 รุ่น คือ 1.5 ลิตร i-DSI และ 1.5 ลิตร VTEC  
มีระบบเกียร์ 2 ระบบ คือ อัตโนมัติแบบ CVT และธรรมดา 5 สปีด  
มีตัวถังแบบเดียว คือ hatchback 5 ประตู
มิติยาว 3.845 เมตร กว้าง 1.675 เมตร และสูง 1.525 เมตร หนัก 1,084 กิโลกรัม
รถแจ๊ซโฉมนี้บางรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่ไม่มีขายในประเทศไทย มีเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น อเมริกา และยุโรป

Generation ที่ 2 (ค.ศ. 2008-ปัจจุบัน)

โฉมนี้ เป็นโฉมใหม่ล่าสุดของฮอนด้า แจ๊ซ เริ่มผลิตในญี่ปุ่นใน ค.ศ. 2007 และเริ่มออกขายในประเทศไทยเมื่อ ค.ศ. 2008 เป็นรถขนาดเล็ก (Compact Car)
โฉมนี้ เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 2008 ด้วยทริม 3 แบบ คือ SV, V, S
โดยแบบ SV และ V มีเฉพาะระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด แต่แบบ S จะมีทั้งเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด โดยรถเกียร์อัตโนมัติ จะมีราคาแพงกว่าเกียร์ธรรมดา 37,000 บาท มิติยาว 3.9 เมตร กว้าง 1.695 เมตร และสูง 1.525 เมตร หนัก 1,200 กิโลกรัม
ฮอนด้า แจ๊ซ โฉมที่ 2 นี้ ได้รับรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี (Thailand Car of the Year) ประจำปี 2009 ในประเภทรถยนต์นั่งแฮทช์แบ็ค ในรุ่นไม่เกิน 1,500 ซีซี (Best Hatchback under 1,500 cc.)


Subaru

 Subaru 

ซูบารุ ประเทศไทย แนะนำรถ “ซูบารุ เลกาซี โฉมใหม่” พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 26  ก้าวสู่นวัตกรรมครั้งสำคัญของเทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อ Symmetrical All Wheel Drive (AWD)
นายอภิชัย  ธรรมศิรารักษ์  ผู้จัดการทั่วไป บริษัท มอเตอร์ อิมเมจ ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด แถลงข่าวแนะนำรถยนต์ใหม่ ซูบารุ เลกาซี  ซึ่งจะเปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในงานไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป ครั้งที่ 26  เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ชื่นชอบความหรูหราและสะดวกสบาย
“ซูบารุ เลกาซี” ได้รับการพัฒนามาถึงเจเนอเรชั่นที่ 5 โดยยังคงจุดเด่นที่สำคัญของดีเอ็นเอ ซูบารุ คือ เครื่องยนต์บ๊อกเซอร์สูบนอน (Boxer) ที่ทรงพลัง  และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ตลอดเวลา (Symmetrical All Wheel Drive-AWD)  อันลือชื่อในเรื่องของการยึดเกาะถนน พร้อมกันนี้ได้มีการพัฒนารูปลักษณ์ใหม่ เสริมความทันสมัย เหนือชั้นด้วยความหรูหรา และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน
ซูบารุ เลกาซี โฉมใหม่นี้  ถือได้ว่าเปิดตัวพร้อมกับการฉลอง ซูบารุ เลกาซี  ครบรอบ 20 ปี นับจากเปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1989    ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนานสำหรับรถยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และมียอดขายสะสมทั่วโลก กว่า 3.6 ล้านคัน